บทพิสูจน์ฝีมือ ของน้องชายตะกูลแอฟเฟล็ก ในหนังเรื่อง “ไลท์ ออฟ มายไลฟ์”

Posted 2023/06/25 87 0

บทพิสูจน์ฝีมือ การรับบทบาทนักแสดงนำของเคซีย์ ในการเดินตามรอยพี่ชาย

บทพิสูจน์ฝีมือ วันนี้เราขอนำเสนอภาพยนตร์น้ำดี ที่อาจจะไม่ได้ดังเปรี้ยงจนผู้ชมหันมาสนใจมากนัก ที่รับบทแสดงนำโดยเคซีย์ อีกหนึ่งนักแสดงมากความสามารถของตระกูล อัฟเฟล็ก ทั้งนี้ตัวเคซีย์เอง ก็ได้เข้าสู้วงการนักแสดงมาพร้อมๆ กับพี่ชาย แต่ในชื่อของเคซีย์ อาจจะไม่ได้ดังมากมาย เพราะเขาไม่ได้รับบทบาทที่โดดเด่นมากนัก อีกทั้งในการรับบทตัวละครที่ไม่ได้เป็นที่ต้องการของตลาด หรือความนิยมจากผู้ชม รวมทั้งการเป็นที่รู้จัก และชื่อเสียงนั้น ก็คงไม่ได้เท่าพี่ชาย

บทพิสูจน์ฝีมือ

แต่ถ้าจะพูดกันถึงเรื่องความสามารถ ในการรับบทนักแสดงหนังนั้น พูดได้เลยว่าตัวของเคซีย์นั้น แทบจะแซงหน้าพี่ชายของเขาไปแล้ว และเมื่อไม่นานมานี้ ตัวเขาเองก็ได้พิสูจน์ตัวเองให้คอหนังได้รับรู้ ด้วยการที่เขาได้คว้ารางวัลออสการ์ จากสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่อง แค่ใครสักคน (2016) ซึ่งในปัจจุบันนี้เคซีย์นั้นก็อายุ 44 ปีแล้ว และยังมีทายาทที่เป็นลูกชายอีก 2 คน กับอดีตภรรยาของเขาที่ชื่อว่าซัมเมอร์ ฟินิกซ์ ซึ่งเป็นน้องสาวของวาคีน ฟินิกซ์

แต่ทั้งสองนั้นก็ได้หย่าร้างกันไปเมื่อปี 2017 แต่เขาทั้งสองก็ยังดูแลลูกๆ ร่วมกันอยู่ กลับมาพูดถึงเรื่องงานแสดงของเขานั้น ได้ผ่านการรับบทแสดงมามากมายกว่า 40 เรื่อง โดยที่ตัวเขามีบทบาทในการอำนวยการสร้างหนังมาแล้ว 8 เรื่อง และในส่วนงานที่เกี่ยวกับ การรับหน้าที่ผู้กำกับหนังนั้น เขาได้กำกับมาแล้วโดยเป็นแบบสารคดีเทียมในเรื่อง ไอ’แอม สติล เฮียร์ (2010) ที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของวาคีน อดีตพี่เขยของเขานั่นเอง

วันนี้เคซีย์จึงขอก้าวไปอีกขั้น ด้วยการเป็นผู้กำกับหนังยาวแบบจริงจัง ในเรื่อง “ไลท์ ออฟ มายไลฟ์” หรือมีชื่อไทยว่า คือพ่อ…คือลูก ที่แค่กำกับด้วยตัวของเขาเองยังไม่พอ เคซีย์ยังควบหน้าที่อำนวยการสร้าง, แสดงนำ, เขียนบทภาพยนตร์ ครบทุกตำแหน่งสำคัญกันไปแล้ว ตัวหนังได้เข้าฉายรอบแรกที่สหรัฐฯ ไปตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ได้รับเสียงตอบรับที่ดีงามจากบรรดานักวิจารณ์ รวมไปถึงความนิยมจากคนในประเทศ ที่ชี้ชัดกันด้วยคะแนนจากเอ็มไอบีที่ 75% กันไปเลย

ในส่วนของที่มาของภาพยนตร์เรื่องนี้ เค้าโครงเรื่องเกือบทั้งหมด ก็มาจากความคิดของเคซีย์เอง ซึ่งมันเคยเป็นนิทานก่อนนอน ที่เขาแต่งเอง ไว้เล่าให้ลูกชายทั้งสองของเขาฟัง แล้วเขายังจดบันทึกบทสนทนา ที่เขาพูดคุยกับลูกชายขณะเล่านิทานเอาไว้ด้วย แล้วก็เอาเรื่องราวเหล่านั้น มาสานต่อกันเป็นเรื่องยาว ใส่เนื้อหาตัวละครลงไป ในฉากหลังที่เป็นโลกหลังหายนะ ที่เป็นแนวโปรดปรานส่วนตัวของเคซีย์เอง

จากนิทานก่อนนอนที่เล่าให้ลูกๆ ฟัง กลายมาเป็นบทภาพยนตร์ที่ให้ข้อคิดมากมาย

จากการใช้เวลาเรียบเรียง ก็ได้ออกมาเป็นบทหนัง ซึ่งตัวเคซีย์เองก็ยอมรับว่า เขาได้อิทธิพลมาจากภาพยานตร์เรื่อง เดอะโรด (2010) มาพอสมควร ซึ่งเป็นหนังแนวการเอาตัวรอดบนโลกหลังหายนะที่ วิกโก มอร์เตนเซน ต้องเดินทางข้ามรัฐต่างๆ ไปพร้อมกับลูกชายตัวน้อย ซึ่งเคซีย์รับบทเป็นพ่อที่ต้องดูแล “แร็ก” ลูกสาววัย 11 ขวบ สองพ่อลูกต้องดูแลกันและกัน ในวันที่เกิดโรคระบาดประหลาด ที่คร่าชีวิตเฉพาะมนุษย์โลกเพศหญิง ไปจนสิ้น

และลูกสาวของเขา ก็ดันเป็นเด็กที่มีภูมิคุ้มกัน ต่อโรคระบาดชนิดนี้ และก็กลายเป็นมนุษย์เพศหญิงรายเดียว ที่เดินอยู่บนโลกที่มีแต่เพศชาย ซึ่งการเป็นเช่นนี้อาจจะเกิดอันตรายได้ร้อยแปด กับชีวิตของเด็กสาว ทางเดียวที่พ่อคิดออกคือ จับแร็กเปลี่ยนภาพลักษณ์ให้ดูเป็นเด็กผู้ชาย ซึ่งตัวละครเด็กสาวก็ได้ดาราเด็ก แอนนา พิโนวสกี้ มารับบท ก็ต้องชื่นชมทีมแคสติ้ง ที่ไปหาสาวน้อยคนนี้มาจากไหน เพราะงานแสดงของเธอโดดเด่นมาก เป็นสาวน้อยที่ตัดผมสั้นแบบเด็กผู้ชาย แล้วดูน่ารักน่าเอ็นดูอย่างมาก

บทพิสูจน์ฝีมือ

ซึ่งตัวลครเด็กสาวก็แสดงได้เป็นธรรมชาติที่สุด เข้าขากับเคซีย์ได้อย่างกลมกลืน เธอคือองค์ประกอบสำคัญ ที่ทำให้ผู้ชมเกาะติดไปกับหนัง ที่ดำเนินเรื่องไปแบบเรื่อยๆ เรื่องนี้ได้ พอเราได้อ่านพลอตเรื่องแล้วน่าสนุกนะครับ ถึงแม้หนังจะออกแนวดราม่า แต่ตัวหนังน่าจะมีอะไรให้ลุ้นระทึกได้เยอะเลยเชียว แต่อย่าลืมว่านี่คือเคซีย์ เป็นนักแสดงที่ไม่เล่นหนังบล็อกบัสเตอร์ ขอขายฝีมือเป็นหลัก ฉะนั้นเมื่อทำหนังที่มาจากมันสมอง และสองมือของเขาอย่างชัดเจนแบบนี้ มันจะต้องไม่ใช่หนังหวังผลทางการตลาดอย่างแน่นอน

หนังเรื่องนี้ก็เลยถูกนำเสนอออกมา ในแบบดราม่า ที่มีฉากหลังเป็นโลกหลังหายนะ เน้นหนักไปที่พ่อกับลูกอย่างจริงจัง เรียกได้ว่าเกือบ 100% ของหนังจะมีภาพพ่อลูกคู่นี้อยู่บนจอ แล้วหนังก็เดินหน้าไปด้วยบทสนทนาระหว่างพ่อลูก เป็นหนังที่คุณจะต้องเจอกับมหกรรมบทสนทนา ที่อาจจะบอกได้ว่า “คุยกันทั้งเรื่อง” ก็ไม่ผิด เราต้องดูภาพและอ่านซับ แล้วต้องอ่านด้วยความเร็วสูง เพราะเป็นประโยคโต้ตอบไปมาระหว่างพ่อลูก แต่ละประโยคแช่อยู่ไม่ถึง 1 วินาทีก็เปลี่ยนแล้ว

เนื้อหาส่วนใหญ่ในหนังก็เหมือนกับเป็นการเล่านิทาน เป็นเรื่องเล่าในอดีต ที่มีวันชื่นคืนสุขตอนที่แม่ยังชีวิตอยู่ การพยายามสอนลูกสาวที่กำลังโตเป็นสาว ด้วยถ้อยคำที่ระมัดระวังอย่างที่สุด หรือเรื่องยาก ๆ อย่างความแตกต่างของคำว่า มนุษยธรรม และจริยธรรม แล้วที่กล่าวมาทั้งหมด หนังเรื่องนี้ก็คงจะเป็นหนังนอกกระแสที่ดีเรื่องหนึ่ง แล้วตัวเนื้อเรื่องของหนัง จะเหมาะกับผู้ชมกลุ่มไหนดีล่ะ ก็คงต้องเป็นแฟนคลับเคซีย์ ที่อยากสนับสนุนก้าวสำคัญของเขา ในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์

สุดท้ายสำหรับคนชอบดูหนังที่ขายการแสดง หรืออยากใช้สมอง ด้วยการตีความจากบทสนทนายาก ๆ ตัวหนังอาจจะเครียดและดราม่าสักหน่อย แต่ก็แฝงข้อคิดดีๆ หลายเรื่อง ใครที่ดูแล้วชอบ และคิดว่าหนังเรื่องนี้เน้นไปที่สาระ มากกว่าความมันส์ความตื่นเต้น ก็คอยติดตามงานกำกับเรื่องต่อไปของเคซีย์ และเชื่อว่าฝีมือน่าจะเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ถ้าหากว่าได้ลงมือกำกับหนังต่อไป และก็อยากให้เปิดใจลองดูหนังแนวนี้สักครั้ง xn--72czbs0gd7b9c.com/