กลับมาสร้างความเกรียน รีวิวหนังภาคจบรวมพันธุ์นักสู้พิทักษ์จักรวาล

Posted 2023/05/17 88 0

กลับมาสร้างความเกรียน กับหนังซูเปอร์ฮีโร่ขวัญใจสายเกรียน ที่มาพร้อมกับแอ็กชันมันๆ และดราม่าซึ้งๆ

กลับมาสร้างความเกรียน เรียกได้ว่าใช้เวลาการรอคอยกันพอสมควร กับภาคต่อของเหล่าฮีโร่สุดเกรียน ซึ่งถ้านับตั้งแต่ช่วงเวลาหลังจากที่ภาคสองลงโรงฉายไปเมื่อปี 2017 ไม่น่าเชื่อว่านี่คือช่วงเวลานานถึง 6 ปีเข้าให้แล้ว ถือว่าเป็นหนังซูเปอร์ฮีโรของมาร์เวลสตูดิโอส์ ที่มีระยะห่างของภาคต่อที่ห่างมากอีกเรื่องเลยก็ว่าได้ ถ้าไม่นับที่ยกโขยงไปช่วยกำราบธานอสใน อเวนเจอร์ส: มหาสงครามล้างจักรวาล (2018) และในภาคเผด็จศึก (2019) แต่ก็ดีหน่อยที่ช่วงคริสต์มาสที่แล้วเพิ่งมี ‘ตอนพิเศษรับวันหยุด’ (2022) ที่น่ารักและอุ่นเครื่องก่อนมาเจอของจริงกับหนังเรื่องนี้ได้ดีเลย

ซึ่งถ้าใครยังจำกันได้คร่าวๆ กว่าจะออกมามาเป็นภาคสามอย่างที่หลายคนได้ดูกัน นอกจากจะนานแล้วก็ยังทุลักทุเลใช่ย่อย เพราะเจมส์ กันน์ ผู้กำกับและเขียนบทประจำแฟรนไชส์นี้ ดันถูกขุดทวีตแนวตลกร้ายต่างๆ นานา จนดิสนีย์ที่รักษาภาพลักษณ์ด้านบวกยิ่งชีพ ถึงกับต้องปลดออก แม้หนังสองภาคจะทำรายได้ไปไม่น้อย แต่สุดท้ายด้วยแรงหนุนจากทั้งคนดูและนักแสดง ก็เลยได้โอกาสที่ได้กลับมาสานฝันกับหนังเรื่องนี้อีกครั้ง แต่แล้วก็ยังต้องผัดผ่อนไปอีก

กลับมาสร้างความเกรียน

เพราะระหว่างนั้นผู้กำกับเรื่องนี้ ก็ข้ามไปลุยงานกำกับของทางฝังจักรวาลดีซี และก็ได้ออกผลงานกำกับหนัง เดอะ ซุยไซด์ สควอด และทีวีซีรีส์พีซเมกเกอร์ จนได้นั่งแท่นผู้บริหารร่วมของดีซีด้วยซะเลย ก็เลยทำให้หนังเรื่องนี้อยู่ในจุดที่ ถ้าว่ากันตามตรง ก็ถือว่ามีความคาดหวังสูงพอควรแหละ เพราะไหนจะภาพรวมของหนังจากค่ายมาร์เวลในเฟส 4-5 ที่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ หนังเปิดเฟส 5 อย่างแอนท์-แมน และเดอะวอสพ์ก็พังพาบไม่เป็นทรง และรวมทั้งการที่กันน์ตั้งใจว่าจะให้ รวมพันธุ์นักสู้พิทักษ์จักรวาลภาคสามนี้ เป็นภาคอวสานเรื่องราวของแก๊งการ์เดียนส์แบบจบบริบูรณ์

และเป็นหนังเรื่องสุดท้ายของผู้กำกับ ที่จะทำหน้ากำกับหนังให้ค่ายของมาร์เวล ก่อนไปรับตำแหน่งผู้บริหารของทางค่ายดีซี แบบเต็มเวลา ประกอบกับที่ผ่านมา รวมพันธุ์นักสู้พิทักษ์จักรวาลถือว่า ประสบความสำเร็จทั้งในแง่รายได้ และความชื่นชอบอย่างล้นหลาม ก็เลยย่อมอยู่ในฐานที่ถูกคาดหวังเยอะหน่อยเป็นธรรมดา ซึ่งสำหรับเรื่องย่อตัวหนังเหมือนจะต่อจากพิเศษรับวันหยุดแบบกลาย ๆ เพราะมีบางจุดในหนังที่อ้างอิงอยู่บ้าง ถ้าใครดูแล้วก็จะเข้าใจและอินมากกว่าหน่อย แต่ถ้าใครติดตามหนังทุกเรื่องของมาร์เวล ก็เข้าใจได้ดีเลย

โดยในภาคล่าสุด และถือว่าเป็นภาคจบของเหล่าฮีโร่สายเกรียนนี้ หัวหน้าแก๊งการ์เดี้ยนอย่าง ปีเตอร์ ควิลล์/สตาร์ลอร์ด ที่ยังคงมูฟออนจากความสูญเสีย กาโมรา จากเหตุการณ์ในหนังอเวนเจอร์ส ในภาคเผด็จศึก ไม่ได้เหมือนเดิม แม้กาโมราจะกลับมาให้เจอก็จริง แต่เธอก็เป็นกาโมราจากอีกไทม์ไลน์ ที่จำอะไรไม่ได้เลย แถมยังไปเป็นสมาชิกแก๊งราเวนเจอร์กับสตาคาร์อีกต่างหาก ร้อนถึงควิลล์เองต้องพยายามรื้อฟื้น ‘ความนัยที่รู้กัน’ ของทั้งคู่ขึ้นมาอีกครั้งแบบทุลักทุเล

นอกจากที่ต้องเหนื่อยเรื่องหัวใจแล้ว ยังต้องเผชิญกับตัวร้ายในเรื่อง อย่างเรฟโวลูชันนารี นักวิทยาศาสตร์ชั่วร้าย ผู้คิดค้นการดัดแปลงสัตว์ให้มีสติปัญญาเทียบเท่ามนุษย์ เพื่อหวังสร้างสังคมใหม่ที่สมบูรณ์แบบบนอาณานิคมที่เรียกว่า เคาต์เตอร์เอิร์ธ ได้บงการให้สังฆราชินีอายีชา ผู้นำสูงสุดของอาณาจักรซอฟเวอเรน และลูกชาย อดัม วอร์ล็อก วัยรุ่นดักแด้ทองไปชิงตัวร็อกเก็ตมาให้ได้เพื่อเป้าประสงค์บางอย่าง แต่ระหว่างต่อสู้กัน ร็อกเก็ตเกิดบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นปางตาย ร้อนถึงเพื่อน ๆ แก๊งการ์เดียนส์ ทั้งสตาร์ลอร์ด, แดร็กซ์, เนบิวลา, แมนทิส, กรูท ที่คราวนี้มาในเวอร์ชันล่ำ ที่ต้องย้อนไปถึงต้นกำเนิดและที่มาที่ไปของร็อกเก็ต เพื่อค้นหาวิธีการที่จะฟื้นชีวิตของร็อกเก็ตให้กลับมาอีกครั้ง

ทางด้านผู้กำกับก็เหมือนรู้ตัวว่าทั้งสองภาค มีอะไรที่เป็นจุดเด่น และมีอะไรที่เป็นจุดด้อย

ถ้าเรากลับไปดูในภาคแรก แน่นอนว่าก็เหมือนกับหนังเกือบทุกเรื่อง ที่จะต้องปูเนื้อเรื่องแบบสูตรสำเร็จหนัง ที่จะต้องแนะนำตัวฮีโร แต่ก็มีงานแอ็กชันที่สนุกและเฉลี่ยกราฟความสนุกได้ดี ในขณะที่ภาคสองนั้นมีดีในแง่ของ การเล่าเรื่องปมของแต่ละตัวละคร และเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัว หรือแม้แต่การผสมจังหวะอารมณ์ขัน ความอบอุ่น และประเด็นความเป็นคนนอกคอก และความคืบหน้าเหตุการณ์บางอย่างในตอนพิเศษรับวันหยุด ซึ่งพอหนังเรื่องนี้ถูกวางให้เป็นหนังภาคสุดท้าย กันน์ก็เลยประโคมทุกอย่าง ทุกปม ทุกเส้นเรื่องลงไปในภาคนี้ให้สิ้นสุดกันไปเลยทีเดียว xn--72czbs0gd7b9c.com/

ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีปมของเนื้อเรื่องหลัก และเหตุการณ์ที่ต้องเดินเรื่องในภาคนี้ ถ้าเรามองจากตอนพิเศษที่ได้ออกอากาศ ก็คือเจ้าร็อกเก็ตนี่แหละ ที่ในตัวอย่างหนังกับโปสเตอร์ก็จะสังเกตได้ว่า จะมีเจ้าร็อกเก็ตเต็มไปหมด ซึ่งมันก็สอดคล้องกับที่กันน์เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ร็อกเก็ตนี่แหละคือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาอยากกลับมาทำภาคสาม เพราะจะว่าไป ร็อกเก็ตคือตัวละครหนึ่งที่ยังไม่เคยถูกเปิดเผยที่มาที่ไปเลย ผู้กำกับก็เลยอยากให้ร็อกเก็ตเป็นศูนย์กลาง ของเรื่องราวในภาคนี้ และเป็นเหมือนกับตัวแทนของกลุ่มคนไม่เอาไหน ที่มารวมตัวกันเป็นแก๊งการ์เดียนส์ที่เป็นปึกแผ่น

กลับมาสร้างความเกรียน

รวมทั้งที่มาที่ไป เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเจ้าร็อกเก็ต รวมทั้งเรื่องราวในอดีตที่ได้บอกถึงที่มาของความอัจฉริยะ ของเจ้าแร็กคูนปากเก่งตัวนี้ด้วย ตัวหนังก็เลยจะตัดสลับกับเหตุการณ์ ณ ปัจจุบันที่ร็อกเก็ตนอนโคมาอยู่บนยาน เดอะ มิลาโน ตัดสลับกับเหตุการณ์ในวัยเด็ก ตอนที่ร็อกเก็ตยังเป็นแค่แร็กคูนตัวจิ๋วๆ ที่ถูกจับมาทดลอง ซึ่งที่นั่นเขาเองก็ได้เจอกับผองเพื่อนบรรดาสัตว์ทดลอง ที่กลายมาเป็นเพื่อนในเวลาต่อมา ซึ่งในฉากรำลึกความหลังนี้ก็จะค่อยๆ คลายปมปริศนาที่มาที่ไปของตัวร็อกเก็ตเอง

และสิ่งที่เป็นฉากเล่าเรื่องความหลังเหล่านี้ ก็สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวที่เป็นมูลเหตุ ให้แก๊งฮีโร่สายเกรียนต้องเหาะข้ามจักรวาล เพื่อไปบุกรังของ ไฮ เรฟโวลูชันนารี เพื่อหาวิธีช่วยร็อกเก็ตให้ได้ ในขณะเดียวกันก็ต้องหลบหนี อดัม วอร์ล็อก ที่ก็กำลังออกตามหาร็อกเก็ตด้วยเหมือนกัน และแน่นอนแหละว่า เหมือนหลายคนที่มีความกังวลว่า พอเห็นโปสเตอร์ที่เน้นภาพของร็อกเก็ตเยอะ ๆ เห็นตัวละครอย่างสตาร์ลอร์ดร้องไห้ในตัวอย่าง ก็ยิ่งชวนให้เครียดไปใหญ่ว่าจะมีใครตายหรือเปล่าเนี่ย

พอยิ่งในภาคนี้ก็ได้บอกก่อนแล้วว่าจะเป็นภาคสุดท้าย ก็ยิ่งทำให้สามารถเขียนบทให้ใครบางคนในแก๊ง ตายไปเลยก็ย่อมได้ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น ก็อาจจะทำให้แกนหลักในแบบที่ตัวหนังเป็นมาโดยตลอด นั่นก็คือความเกรียน ความรั่ว ความกวนเบื้องล่าง ความน่ารักก๊องแก๊ง จะถูกพังทลายจนสิ้นด้วยบรรดาเส้นเรื่องดราม่าแบบตับพัง จนพาให้ภาพรวมออกมามีแต่ดราม่าน้ำตารื้น จนเสียรสเสียชาติความเกรียนไปแน่ๆ ยิ่งมีช็อตที่ร็อกเก็ตเปิดเพลงซึ๊งๆ ที่มีเนื้อเพลงสะท้อนภาพของช่วงตกอับ ขี้แพ้ บวกด้วยฉากแอ็กชันโหดๆ ที่เปิดมาก็ยิ่งชวนให้สถานการณ์ยิ่งหม่นหมอง และหดหู่หนักเข้าไปอีก

แต่นอนนอนว่าถ้าใครได้ดูแล้ว ก็การันตีได้ว่ายังคงความมันส์ และความเกรียนเอาไว้ไม่แพ้กับภาคก่อนๆ อย่างแน่นอน มันอาจจะไม่ใช่หนังที่ดีสมบูรณ์แบบไปเสียทุกด้าน แต่อย่างน้อยๆก็ถือเป็นปาร์ตี้สั่งลา ของทั้งเจมส์ กันน์, บรรดานักแสดง และอวสานแฟรนไชส์ชุดนี้ได้อย่างน่าประทับใจ ถ้ามองโดยภาพรวมของก็อาจจะพูดได้ว่า นี่คือหนังที่ทำได้ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของยุคการเดินทางของจักรวาลมาร์เวล เป็นหนังที่ยังรักษาหัวใจและสไตล์เกรียนๆ ของตัวเองได้อย่างครบถ้วน และทำให้คนดูรู้สึกรักเหล่าการ์เดียนส์ได้เหมือนกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่แม้ว่าตอนนี้อาจจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว แต่เราจะคิดถึงเพื่อนเกรียนๆ ขาดๆ เกินๆ ของแก๊งนี้มากแน่ๆ เลย